วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ผักกะหล่ำ


ผักกะหล่ำปลี
ส่วนใหญ่ที่เราเห็น ๆ กันจะเป็นกะหล่ำปลีสีเขียว แต่สีอื่น ๆ ก็มีเช่นกัน เช่น ขาว ม่วง และแดง
ต้นกะหล่ำปลี เดิมแล้วมีถิ่นกำเนิดอยู่แถบเมดิเตอเรเนียน และภายหลังได้แพร่กระจายทั่วไป โดยกะหล่ำปลีจะแบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ กะหล่ำปลีธรรมดา (พันธุ์โกลเดนเอเคอร์, พันธุ์โคเปนเฮเกนมาร์เก็ต), กะหล่ำปลีแดง (ใบเป็นสีแดงทับทิม ขึ้นดีในที่อากาศหนาวเย็น), กะหล่ำปลีใบย่น (ขึ้นได้ในที่ที่มีอากาศหนาวเย็นเป็นพิเศษ)
กะหล่ำปลีดิบ มีวิตามินซีสูง การนำไปปรุงอาหารควรใช้วิธีการนึ่ง จะช่วยคงคุณค่าของสารอาหารไว้ได้ดีที่สุด หรือจะรับประทานเป็นผักสลัดก็ได้ ทั้งนี้ไม่ควรนำไปนึ่ง ต้ม ผัดนานจนเกินไป
ผักกะหล่ำปลี นั้นมีสารพิษที่เรียกว่า กอยโตรเจน (Goitrogen) ซึ่งเป็นตัวขัดขวางการดูดซึมของไอโอดีน ผลที่ตามมาก็คืออาจทำให้เป็นคอหอยพอกได้ แต่สารพิษที่ว่านี้จะถูกทำลายด้วยวิธีการนำไปต้ม ดังนั้นจึงควรรับประทานกะหล่ำปลีที่ผ่านการปรุงสุกแล้วจะดีกว่า แม้ว่าวิตามินจะหายไปบ้างก็ตาม แต่ก็มีคำแนะนำว่าการเกิดปัญหาจากสารพิษชนิดนี้ไม่ใช่จะเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ เพราะถ้าจะรับประทานกะหล่ำปลีจนถึงขนาดได้รับสารกอยโตรเจน ต้องเป็นการรับประทานอย่างต่อเนื่องเป็นประจำและในปริมาณมาก ดังนั้นจึงไม่ต้องตกใจและกังวล เล็ก ๆน้อย ๆ นาน ๆ รับประทานที ไม่มีอันตราย
กะหล่ำปลีดิบควรรับประทานแต่พอเหมาะ เนื่องจากการรับประทานมากเกินไปอาจจะทำให้มีปัญหาเรื่องต่อมไทรอยด์ได้ และที่สำคัญควรระมัดระวังเรื่องยาฆ่าแมลงให้มาก เพราะกะหล่ำปลีนั้นติดอับดับ 1 ใน 5 ผักที่มีสารปนเปื้อนมากที่สุด การบริโภคเข้าไปในปริมาณมากอาจจะทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ปวดศีรษะ มึนงง หายใจลำบาก คลื่นไส้อาเจียน มีอาการชักหรือหมดสติได้
ก่อนการนำมารับประทานก็ควรล้างให้สะอาดก่อน ด้วยวิธีการลอกหรือปอกเปลือกออกแล้วแช่น้ำสะอาดประมาณ 10 นาที หลังจากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งจะช่วยลดสารพิษตกค้างได้ร้อยละ 25-72 ซึ่งเป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุด และสำหรับวิธีอื่น ๆ ก็เช่น แช่น้ำปูนใส, การใช้ความร้อน, แช่น้ำด่างทับทิม, ล้างด้วยน้ำไหลจากก๊อก, แช่น้ำซาวข้าว, แช่น้ำส้มสายชูหรือเกลือป่น, แช่น้ำยาล้างผัก เป็นต้น

สรรพคุณของกะหล่ำปลี

  1. กะหล่ำปลีมีกรดทาร์ทาริก (Tartaric acid) ที่ช่วยยับยั้งและขัดขวางไม่ให้น้ำตาลและแป้งกลายเป็นไขมัน จึงมีส่วนในการช่วยลดน้ำหนักและคอเลสเตอรอลได้
  2. ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน เพราะกะหล่ำปลีดิบอุดมไปด้วยแคลเซียมและฟอสฟอรัส ซึ่งเป็นผลดีต่อการเสริมสร้างและบำรุงกระดูก
  3. ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้แข็งแรง ป้องกันหวัด เพราะกะหล่ำปลีดิบมีวิตามินสูง
  4. ช่วยบำรุงผิวพรรณทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล และยังช่วยคงความอ่อนเยาว์ได้อีกด้วย
  5. กะหล่ำปลีมีสารเอสเมธิลเมโธโอนินที่สามารถช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหารได้
  6. ช่วยต่อต้านมะเร็ง ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งลำไส้ ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ได้ โดยการบริโภคกะหล่ำปลีมากกว่า 1 ครั้งต่อสัปดาห์ จะช่วยลดโอกาสของการเป็นมะเร็งลำไส้ในผู้ชายได้ถึง 66%
  7. กะหล่ำปลีช่วยต่อต้านมะเร็งในตับและมีส่วนช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากได้อีกด้วย
  8. ช่วยในการย่อยอาหารและล้างสารพิษทำความสะอาดลำไส้ เพราะกะหล่ำปลีดิบมีใยอาหารที่มีปริมาณพอเหมาะ จึงช่วยในการย่อยและกระตุ้นการทำงานของลำไส้ใหญ่ ช่วยทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  9. ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร บรรเทาอาการอักเสบของแผลในลำไส้ และยังช่วยบำรุงลำไส้
  10. กะหล่ำปลี สรรพคุณช่วยแก้อาการจุกเสียดแน่นท้อง
  11. กะหล่ำปลี ประโยชน์ช่วยแก้และบรรเทาอาการท้องผูก
  12. ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน
  13. ช่วยแก้อาการเจ็บคอ
ประโยชน์ของกะหล่ำปี
  • ช่วยแก้รสเผ็ดร้อนได้ สังเกตได้จากส้มตำ แม่ค้ามักจะใส่กะหล่ำปลีสด ๆ มาเป็นเครื่องเคียงให้รับประทานนั่นเอง
  • ใช้ประกอบอาหาร โดยเมนูกะหล่ำปลีก็เช่น กะหล่ำปลีทอดน้ำปลา, ผัดกะหล่ำปลีใส่ไข่, กะหล่ำปลีตุ๋นซี่โครงอ่อน, กะหล่ำปลีตุ๋นเอ็นวัว, กะหล่ำปลีต้มยัดไส้หมู, กะหล่ำปลีม้วนใส่หมูบดปรุงรส, ถุงทองกะหล่ำปลี, ต้มกะหล่ำปลีเจ, แกงส้ม, แกงจืด, ห่อหมก, รับประทานร่วมกับน้ำพริก, ทำเป็นสลัด ฯลฯ
  • คุณค่าทางโภชนาการของกะหล่ำปลีดิบต่อ 100 กรัม

    • พลังงาน 25 กิโลแคลอรี
    • คาร์โบไฮเดรต 5.8 กรัม
    • น้ำตาล 3.2 กรัม
    • เส้นใย 2.5 กรัม
    • ไขมัน 0.1 กรัม
    • โปรตีน 1.28 กรัม
    • วิตามินบี 1 0.061 มิลลิกรัม 5%
    • วิตามินบี 2 0.040 มิลลิกรัม 3%
    • วิตามินบี 3 0.234 มิลลิกรัม 2%
    • วิตามินบี 5 0.212 มิลลิกรัม 4%
    • วิตามินบี 6 0.124 มิลลิกรัม 10%
    • วิตามินบี 9 43 ไมโครกรัม 11%
    • กะหล่ำปลีวิตามินซี 36.6 มิลลิกรัม 44%
    • ธาตุแคลเซียม 14 มิลลิกรัม 1%
    • ธาตุเหล็ก 40 มิลลิกรัม 4%
    • ธาตุแมกนีเซียม 12 มิลลิกรัม 3%
    • ธาตุแมงกานีส 0.16 มิลลิกรัม 8%
    • ธาตุฟอสฟอรัส 26 มิลลิกรัม 4%
    • ธาตุโพแทสเซียม 170 มิลลิกรัม 4%
    • ธาตุโซเดียม 18 มิลลิกรัม 1%
    • ธาตุสังกะสี 0.18 มิลลิกรัม 2%
    • ฟลูออไรด์ 1 ไมโครกรัม
    % ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่
  • การนำไปประกอบอาหาร
  • 1. ไข่ตุ๋นกะหล่ำปลี 

         ว้าว ! อยากกรี๊ดดังไปถึงปากซอยกับเมนูไข่ตุ๋นกะหล่ำปลี สูตรจาก เฟซบุ๊ก พาทำ พาทาน จับไข่ตุ๋นอยู่ในลูกกะหล่ำปลี จะใส่เนื้อสัตว์ลงไปด้วยก็ได้นะคะ 

    ส่วนผสม ไข่ตุ๋นกะหล่ำปลี

         • กะหล่ำปลี 1 หัว 
         • ไข่ไก่ หรือไข่เป็ด (เบอร์ 0) จำนวน 2 ฟอง
         • น้ำซุป 5 ช้อนโต๊ะ
         • น้ำปลา 1 ช้อนชา
         • ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนชา
         • แครอท หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้) 
         • ต้นหอมซอย
         • พริกไทย (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้) 

    วิธีทำไข่ตุ๋นกะหล่ำปลี

         • 1. แหวกกะหล่ำปลีให้เป็นช่องตรงกลางสำหรับใส่ไข่ลงไป กะดูว่าปริมาณไข่ที่จะใส่พอดีหรือไม่
         • 2. ตอกไข่ใส่ชามแล้วตีให้ขึ้นฟู ใส่น้ำซุป น้ำปลา ซีอิ๊วขาว และพริกไทยลงไป ตีให้เข้ากัน ใส่แครอท นำไปหยอดใส่ลงในกะหล่ำปลีที่เจาะไว้
         • 3. นำไปนึ่งจนกว่าไข่จะสุก โดยให้ใช้ส้อมกดลงไปดู ถ้าไม่มีน้ำไข่ดิบไหลออกมา เอาเป็นว่าใช้ได้ ปิดไฟ ยกลง โรยหน้าด้วยต้นหอมซอย พร้อมเสิร์ฟ

         หมายเหตุ : การเลือกกะหล่ำปลี ควรเลือกหัวที่ค่อนข้างแน่น เวลาทำกะหล่ำปลีต้องเหลือเปลือกกะหล่ำปลีให้หนา ถ้าเหลือน้อย ๆ มีดโดนกะหล่ำปลีทะลุก็จะรั่วได้ ตัดก้านออกก่อนเจาะและเจาะด้านโคน 
  • กดเพื่อดูเมนูอื่นๆ --->คลิก<---

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น